วันพฤหัสบดีที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ลมยางรถยนต์

ลมไนโตรเจนอีกหนึ่งทางเลือกในการเติมลมยางรถยนต์

ลมยางรถยนต์เป็นอีกอันที่ไม่ควรมองข้ามไป เติมอ่อนไปรถเกาะถนนก็จริงแต่ก็เปลืองน้ำมัน เติมแข็งไปรถก็ร่อนเวลาใช้ความเร็วสูงๆ จึงควรดูคู่มือการเติมลมยางกับขนาดของยางที่ใช้ ส่วนใหญ่จะติดอยู่ตรงประตูด้านใน ซึ่งจะบอกระดับแรงดันลมที่ใช้กับขนาดยาง แล้วแต่รุ่นของรถ

ปกติการเติมลมบางท่านอาจจะไม่ได้เน้นว่าต้องเป็นลมอะไร เติมให้ได้ระดับก็พอ แต่จากการที่ใช้รถมาหากเติมลมด้วยลมปกติซึ่งไม่ใช่ลมไนโตเจน  หากเราเติมแล้วใช้รถวิ่งใช้งานหรืออาจเดินทางไกล ถ้าเราเช็คลมจะพบว่าเมื่อยางเสียดสีกับถนนและมีความร้อน เมื่อทำการเช็คจะพบว่าระดับแรงดันลมในยางจะเพิ่มขึ้นมาก เช่น ถ้าเติมลมยาง 32 ปอนด์ เมื่อวัดหลังจากที่ใช้รถแล้วจะพบว่าสูงขึ้นอีก บางทีอาจจะอยู่ที่ 34-35 ปอนด์ เมื่อจอดจนยางหายร้อนถึงจะลดลงเท่าเดิมทำให้มีผลถึงโครงสร้างของยาง หากเป็นยางที่คุณภาพไม่ดี อาจจะทำให้ยางเสื่อมสภาพเร็วขึ้น

จึงขอแนะนำให้เติมลมไนโตรเจน ข้อดีของลมไนโตรเจน  คือจะไม่ขยายตัวเมื่อยางเกิดความร้อน ทำให้โครงสร้างของยางไม่เสื่อมสภาพไว แต่ก็ต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น หากเปลี่ยนมาใช้ลมไนโตรเจน บางร้านถ้าเติมครั้งแรกอาจจะมีค่าใช้จ่าย ล้อละ 50 บาท (ครั้งต่อไปฟรี อันนี้แล้วแต่ราคาของแต่ละสถานที่ครับ) หรือเปลี่ยนยางใหม่ทางร้านบางร้านอาจจะเติมลมไนโตรเจนให้ ซึ่งครั้งต่อไปก็จะเติมให้ฟรี (แล้วแต่ร้าน) แต่ก็ถือว่าคุ้มค่าต่อการขับขี่ที่ปลอดภัยขึ้นไม่ต้องห่วงเรื่องยางระเบิดถ้าวิ่งทางไกลนานๆ (ขึ้นกับสภาพยางรถด้วย) ซึ่งลมไนโตรเจนเติม 1 ครั้งอาจจะอยู่ได้นาน 1 เดือนหรือ 1 เดือนครึ่ง (หากไม่มีการรั่วซึม)  นี่ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่อยากแนะนำให้ลองใช้ดูครับ


แนะนำโดย รถเช่าอุบล1-9.com
ติดต่อรถเช่าอุบล ดูรายละเอียดได้ที่ www.รถเช่าอุบล1-9.com

วันอังคารที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ข้อควรรู้เช็ครถก่อนเดินทางไกล

ก่อนเดินทางไกลเช็คสภาพรถก่อนนิดนึง

      ใกล้ถึงช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่เข้ามาทุกที และเป็นช่วงหยุดยาวด้วย หลายคนที่ต้องจากบ้านไปทำงานกรุงเทพฯหรือจังหวัดอื่น ช่วงนี้คือช่วงที่รอคอยกัน เพราะมีวันหยุดยาวๆ จะได้กลับบ้านพบ พ่อแม่ พี่น้อง ญาติๆซึ่งนานๆทีจะได้เจอกัน หากท่านมีรถยนต์ส่วนตัวในการเดินทางกลับบ้านในช่วงเทศกาลนี้ จึงอยากแนะนำข้อควรรู้ในการเช็คสภาพรถก่อนเดินทางไกล เพื่อที่จะได้เดินทางด้วยความสะดวกและปลอดภัย

การตรวจเช็คสภาพรถภายนอก
  • ยาง       ตรวจสภาพลมยาง  วัดแรงดัน ไม่อ่อน ไม่แข็งจนเกินไป หากไม่ได้บรรทุกสิ่งของหนัก
  • รอยรั่วซึมต่างๆ    เช่น รอยรั่วซึมของน้ำมันเครื่องใต้ท้องรถ เช็คน้ำมันเครื่อง น้ำมันเกียร์ น้ำมันเบรค
  • ยางปัดน้ำฝน    ไม่ควรมองข้ามครับ หากฝนไม่ตก แต่หากขับรถกลางคืนอาจจะมีแมลงเล็กมาติดกระจกอาจจะต้องฉีดน้ำล้างกระจก หากยางใบปัดหมดสภาพ จะทำให้กระจกลาย มองไม่ค่อยเห็นทางได้
  • ไฟส่องสว่าง  เช็คไฟหน้า-หลัง ระดับไฟหน้า ไม่ควรสูงเกินไป ไฟเลี้ยว ซ้าย-ขวา
การตรวจเช็คสภาพรถภายใน
  • เช็ค ยางอะไหล่  แม่แรง เช็คลมยางอะไหล่ด้วยนะครับเพราะหากไม่ได้ใช้นานระดับลมยางอาจจะลดลงได้
  • เช็คระดับน้ำในหม้อน้ำ เช็คดูว่ามีรอยรั่วซึมรึเปล่า หากไม่แน่ใจ กรุณาให้ช่างเช็คดูอีกที เพราะหากเดินทางไกลๆ หากหม้อน้ำรั่ว น้ำหมด หมายถึงหายนะได้เลยนะครับ
  • เช็คระะดับน้ำกลั่นของแบตเตอร์รี่
  • เช็คระดับน้ำฉีดล้างกระจก
  • เช็คสายพานต่างๆว่ามีรอยแตกร้าว หย่อนยานรึเปล่า หากใช้มานานมากก็ควรเปลี่ยนหรือเปลี่ยนตามระยะไปเลยเพื่อความปลอดภัย ที่สำคัญหากรถยังเป็นรุ่นที่ใช้สายพานไทม์มิ่งอยู่ ต้องเช็คให้แน่ในว่ายังไม่เกินระยะเปลี่ยน หรือหากใกล้ถึงระยะเปลี่ยนแนะนำให้เปลี่ยนไปเลยดีกว่าครับ เพราะหากสายพานไทม์มิ่งขาดมานี่ สุดยอดความหายนะเลยนะครับ
ก็เป็นข้อแนะนำเล็กๆน้อยๆ ก่อนออกเดินทาง ที่สำคัญครับ ขับรถด้วยความมีสติ งดของมึนเมา และไม่ประมาทครับ ขอให้เดินทางโดยความปลอดภัยทุกท่านนะครับ สำหรับช่วงวันหยุดยาว ส่งท้ายปีเก่า  ต้อนรับปีใหม่


แนะนำโดย : รถเช่าอุบล 19 uboncarrent
ติดต่อรถเช่าอุบลฯ ได้ที่ www.19uboncarrent.com

ข้อควรรู้ในการขับรถเกียร์ออโต้ให้ถูกต้อง

7 ข้อควรรู้ในการขับรถเกียร์ออโต้ให้ถูกต้อง  ปลอดภัย

      ปัจจุบันรถเกียร์อัตโนมัติหรือเกียร์ออโต้เป็นที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย  ซึ่งช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ขับขี่ เพราะมีระบบการเปลี่ยนเกียร์ให้โดยอัตโนมัติ ไม่ต้องเหนื่อยเปลี่ยนเกียร์ไปมาในเส้นทางที่รถติด ซึ่งตำแหน่งต่างๆ ของเกียร์ออโต้จะมีดังนี้
  ตำแหน่ง P ใช้สำหรับในการจอดรถในทางลาดชัน หรือจอดในตำแหน่งที่ไม่กีดขวางทางรถคันอื่น
  ตำแหน่ง R ใช้ในการถอยหลัง ซึ่งในตำแหน่งนี้ควรระมัดระวังควรเหยียบเบรคทุกครั้งที่ใช้เกียร์นี้
  ตำแหน่ง N เป็นตำแหน่งเกียร์ว่าง ใช้ในการหยุดรถชั่วคราว
  ตำแหน่ง D เป็นตำแหน่งใช้เดินหน้าปกติ
  ตำแหน่ง 2 ใช้สำหรับขับขึ้นทางลาดชันไม่มากนัก  ใช้ความเร็วได้พอสมควร
  ตำแหน่ง L ใช้สำหรับขับขึ้นทางลาดชันมากๆ และต้องใช้ความเร็วต่ำ
     หลังจากรู้จักตำแหน่งของเกียร์ต่างๆ เรามาดู 7 ข้อที่ควรรู้ในการขับรถเกียร์ออโต้กันครับ

1.   ก่อนสตาร์ทเครื่องยนต์ควรตรวจสอบให้เกียร์อยู่ในตำแหน่ง P และสตาร์ทเครื่องยนต์ในขณะที่เกียร์อยู่ในตำแหน่ง P เท่านั้น เพราะหากคันเกียร์คร่อมอยู่ในตำแหน่ง  P – R  แรงสั่นสะเทือนจากการสตาร์ทเครื่องยนต์  อาจทำให้เกียร์ดีดไปเข้าเกียร์ R ทำให้เกิดอุบัติเหตุได้2.   ในการขับรถลงทางลาดชัน ต้องใช้เกียร์ตำแหน่ง “D3″ แต่กรณีที่ทางลงนั้นชันมาก ๆ ให้เลื่อนเกียร์ไปที่ตำแหน่ง “2″ เพื่อใช้เครื่องยนต์ช่วยเบรก (Engine Brake) ในขณะเดียวกันคุณควรเหยียบเบรกไปด้วย หรืออาจใช้เบรกมือ เพื่อช่วยในการหยุดรถที่ดียิ่งขึ้น
3.   ห้ามใช้เกียร์ “N” หรือ “D4″ ในการขับรถลงทางชันมากๆ เพราะกำลัวงเครื่องยนต์ไม่พอ อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุได้
4.   การจอดรถแล้วไม่ดับเครื่องยนต์ในสถานการณ์ต่างๆ เช่น จอดรถเพื่อไปลงเปิดประตูบ้านหรือไปซื้อของริมถนน ไม่ควรใช้ตำแหน่ง N แต่ควรใช้ตำแหน่ง P และใส่เบรคมือทุกครั้งเพื่อป้องกันไม่ให้รถพุ่งไปข้างหน้า
5.  หากต้องการเปลี่ยนเกียร์ไปตำแหน่งอื่น เช่น จากตำแหน่ง  N  ไป  D  หรือ  R ต้องทำในขณะที่รถยนต์จอดสนิท และควรเหยียบเบรกป้องกันกันรถเคลื่อน
6.  หากหยุดในชั่วแค่ 2-3 นาที ก็ควรอยู่ที่ตำแหน่ง D โดยแตะเบรกแทน แต่หากหยุดนานเกินกว่านี้ค่อยเปลี่ยนเป็น N และต้องการป้องกันรถไหลก็ใส่เบรคเบรกมือด้วย
 7. เปลี่ยนน้ำมันเกียร์ทุกๆ 6 เดือนหรือปีละ 2 ครั้ง จะช่วยยืดอายุการทำงานของระบบเกียร์ได้เพราะสภาพอากาศที่ร้อนจัดและการจราจร ติดขัดในกรุงเทพฯ ทำให้รถยนต์ต้องวิ่งๆ หยุดๆ แรงดันน้ำมันสูง-ต่ำไม่คงที่ในระบบเกียร์สูงจากอุณหภูมิเฉลี่ยที่สูง

นี่คือ 7 ข้อที่ควรรู้และปฏิบัติในการขับขี่รถเกียร์ออโต้ให้ถูกวิธี และปลอดภัย


ที่มา:  http://www.directasia.co.th/blog/car/automatic-transmission-car-usage/
แนะนำโดย รถเช่าอุบล1-9.com
www.รถเช่าอุบล1-9.com